Thursday, June 26, 2025

การตั้งค่า SQL Instance เพื่อใช้งานกับ python + Flask

 การตั้งค่า SQL Instance เพื่อใช้งานกับ python + Flask

ขั้นตอนที่ 1: การตั้งค่า Cloud SQL Instance บน Google Cloud

  1. ไปที่ Cloud SQL: ใน Google Cloud Console, ไปที่ "SQL" ในเมนูด้านซ้าย
  2. สร้าง Instance: คลิก "Create Instance" แล้วเลือก Database Engine ที่คุณต้องการ (แนะนำ PostgreSQL หรือ MySQL เพราะใช้งานง่ายและมี Community ใหญ่)
  3. ตั้งชื่อ Instance: ตั้งชื่อ Instance ของคุณ (เช่น my-flask-app-db)
  4. กำหนดรหัสผ่าน Root: ตั้งรหัสผ่านสำหรับ user root (หรือ postgres สำหรับ PostgreSQL) และเก็บไว้ให้ปลอดภัย
  5. เลือก Region: เลือก Region ที่ใกล้เคียงกับ App Engine ของคุณเพื่อลด Latency
  6. ตั้งค่าเวอร์ชันและ Spec: เลือกเวอร์ชันของ Database (เช่น PostgreSQL 14 หรือ MySQL 8) และขนาดของ Instance (Machine Type) ตามความต้องการของแอปพลิเคชันของคุณ
  7. ตั้งค่า Connection: สำคัญมาก! ในส่วนของ "Connections" ให้ตรวจสอบว่า "Public IP" ถูกปิดอยู่ และเลือก "Private IP" เพื่อให้ App Engine เชื่อมต่อผ่าน Private Network ที่มีความปลอดภัยและรวดเร็วกว่า
  8. กำหนด Access: ในส่วนของ "Connections" -> "Authorized networks" คุณสามารถเพิ่ม IP Address ของคุณเองเพื่อเข้าถึง Instance จากเครื่อง Local สำหรับการพัฒนาและทดสอบได้
  9. สร้าง Database: หลังจากสร้าง Instance เสร็จแล้ว ให้สร้าง Database ขึ้นมา 1 ตัวสำหรับแอปพลิเคชันของคุณ (เช่น myapp_db)

ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมโค้ด Flask สำหรับ Cloud SQL

ในโค้ด Flask ของคุณ จะต้องมีการเชื่อมต่อกับ Cloud SQL ที่แตกต่างจากการเชื่อมต่อกับ Local Database เล็กน้อยครับ เราจะใช้ Unix socket สำหรับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพบน App Engine

สิ่งที่ต้องใช้:

  1. Flask-SQLAlchemy (ORM สำหรับ Flask)
  2. Driver สำหรับ Database (เช่น PyMySQL สำหรับ MySQL หรือ psycopg2 สำหรับ PostgreSQL)
  3. google-cloud-sql-connector (สำหรับเชื่อมต่อกับ Cloud SQL อย่างปลอดภัย)

ตัวอย่างโค้ด (สำหรับ PostgreSQL):

ติดตั้ง Library ที่จำเป็น:

Bash
pip install Flask Flask-SQLAlchemy PyMySQL

สำหรับ PostgreSQL ให้ใช้ psycopg2-binary แทน PyMySQL

Bash
pip install Flask Flask-SQLAlchemy psycopg2-binary

app.py (ไฟล์หลักของ Flask app)

Python
import os
from flask import Flask, jsonify
from flask_sqlalchemy import SQLAlchemy

app = Flask(__name__)

# --- Cloud SQL configuration ---
# Retrieve connection details from environment variables set in app.yaml
# These variables are securely managed by App Engine.
DB_USER = os.environ.get('CLOUD_SQL_USERNAME')
DB_PASS = os.environ.get('CLOUD_SQL_PASSWORD')
DB_NAME = os.environ.get('CLOUD_SQL_DATABASE_NAME')
CONNECTION_NAME = os.environ.get('CLOUD_SQL_CONNECTION_NAME') # This is the unique name of your Cloud SQL instance

# Build the connection string
# We use Unix socket for connection on App Engine, which is secure and fast.
# For local testing, you might need a different connection string.
# The format depends on the database engine.
# For PostgreSQL:
app.config['SQLALCHEMY_DATABASE_URI'] = (
    f"postgresql+psycopg2://{DB_USER}:{DB_PASS}@/{DB_NAME}?host=/cloudsql/{CONNECTION_NAME}"
)
# For MySQL:
# app.config['SQLALCHEMY_DATABASE_URI'] = (
#    f"mysql+pymysql://{DB_USER}:{DB_PASS}@/{DB_NAME}?unix_socket=/cloudsql/{CONNECTION_NAME}"
# )

app.config['SQLALCHEMY_TRACK_MODIFICATIONS'] = False
db = SQLAlchemy(app)

# Define your SQLAlchemy models here
class User(db.Model):
    id = db.Column(db.Integer, primary_key=True)
    username = db.Column(db.String(80), unique=True, nullable=False)
    email = db.Column(db.String(120), unique=True, nullable=False)

    def __repr__(self):
        return f'<User {self.username}>'

@app.route('/')
def index():
    return "Flask App is running!"

@app.route('/users')
def get_users():
    users = db.session.execute(db.select(User)).scalars().all()
    user_list = [{'id': user.id, 'username': user.username, 'email': user.email} for user in users]
    return jsonify(user_list)

@app.route('/create_user/<username>/<email>')
def create_user(username, email):
    new_user = User(username=username, email=email)
    db.session.add(new_user)
    db.session.commit()
    return f'User {username} created successfully!'

if __name__ == '__main__':
    # In a local environment, you can run this to create tables
    # Before running, make sure your local connection string is set up or you're connected to the DB.
    # For GAE, this part is not needed as you should run migrations separately.
    # with app.app_context():
    #    db.create_all()
    
    # Use environment variable for port on App Engine
    app.run(host='0.0.0.0', port=int(os.environ.get('PORT', 8080)), debug=True)

ขั้นตอนที่ 3: การตั้งค่า app.yaml สำหรับ App Engine

ไฟล์ app.yaml เป็นไฟล์สำคัญในการกำหนดค่า Environment ของ App Engine เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับ Cloud SQL ได้อย่างถูกต้อง

app.yaml

YAML
runtime: python39  # Or python310, python311, etc.
entrypoint: gunicorn -w 4 -k gevent -b :$PORT app:app

env_variables:
  # These variables will be available in your Flask application code
  CLOUD_SQL_USERNAME: 'your_db_user' # e.g., 'postgres' or 'root'
  CLOUD_SQL_PASSWORD: 'your_db_password'
  CLOUD_SQL_DATABASE_NAME: 'your_database_name' # e.g., 'myapp_db'
  CLOUD_SQL_CONNECTION_NAME: 'your-project-id:your-region:your-instance-name' # e.g., 'my-project:asia-southeast1:my-flask-app-db'

beta_settings:
  # This setting connects your App Engine service to your Cloud SQL instance
  cloud_sql_instances: 'your-project-id:your-region:your-instance-name'

หมายเหตุ:

  • CLOUD_SQL_CONNECTION_NAME สามารถหาได้จากหน้า Overview ของ Cloud SQL Instance ของคุณใน GCP Console (จะเป็นรูปแบบ project-id:region:instance-name)
  • entrypoint: แนะนำให้ใช้ Gunicorn เพื่อทำ Production Server ที่มีประสิทธิภาพสูง
  • beta_settings: ส่วนนี้สำคัญมากสำหรับเชื่อมต่อกับ Cloud SQL

ขั้นตอนที่ 4: การ Deploy แอปพลิเคชัน

  1. สร้าง requirements.txt:

    Bash
    pip freeze > requirements.txt
    

    (ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามี Flask, Flask-SQLAlchemy, PyMySQL หรือ psycopg2-binary, และ gunicorn อยู่ในไฟล์)

  2. ตั้งค่า gcloud:

    Bash
    gcloud init
    gcloud auth application-default login # This is important for local testing and authentication
    
  3. Deploy:

    Bash
    gcloud app deploy
    

    คำสั่งนี้จะทำการ Deploy โค้ดของคุณไปยัง App Engine และสร้าง Environment ตามที่กำหนดไว้ใน app.yaml

ข้อควรระวังและ Best Practices

  • Database Schema Migration: การใช้ db.create_all() เหมาะสำหรับการพัฒนาและทดสอบเท่านั้น ใน Production ควรใช้เครื่องมือทำ Database Migration เช่น Alembic เพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลง Schema ของ Database อย่างเป็นระบบ
  • Secret Management: ไม่ควร hardcode รหัสผ่านในโค้ดหรือ app.yaml ควรใช้ Environment Variables หรือ Secret Manager เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
  • Connection Pool: SQLAlchemy จัดการ Connection Pool ให้คุณโดยอัตโนมัติ ทำให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Security: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Cloud SQL Instance ของคุณถูกตั้งค่าให้เข้าถึงได้เฉพาะจาก App Engine (ผ่าน Private IP) และจำกัดสิทธิ์ของ user ใน Database ให้เหมาะสม

หากคุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะสามารถ Deploy Flask Web Application ที่เชื่อมต่อกับ Cloud SQL บน Google App Engine ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในระดับ Production ครับ!


Wednesday, June 25, 2025

วิธีการจัดส่งรูป(Image) Rest API (Backend) กับ Frontend

 การส่งไฟล์รูปภาพระหว่าง backend ถึง frontend โดยใช้ REST API นั้น โดยทั่วไปจะใช้การส่งค่าเป็นข้อมูลแบบ Base64 encoded string หรือ Binary Data (เช่น multipart/form-data หรือ application/octet-stream) ครับ

แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการใช้งานของคุณ


1. Base64 Encoded String

นี่เป็นวิธีที่นิยมและจัดการได้ง่ายในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อขนาดไฟล์ไม่ใหญ่มากนัก

แนวคิด:

รูปภาพจะถูกแปลงจากข้อมูลไบนารี (binary data) ให้เป็นสตริงข้อความยาวๆ ที่ประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลข (A-Z, a-z, 0-9, +, /, =) ข้อมูลสตริงนี้สามารถฝังไปใน JSON object ได้โดยตรง ทำให้การจัดการเป็นเรื่องง่ายในฝั่ง frontend และ backend

วิธีการทำงาน:

  • Backend (ส่งรูปภาพ):
    1. อ่านไฟล์รูปภาพเป็นข้อมูลไบนารี
    2. แปลงข้อมูลไบนารีนั้นให้เป็น Base64 encoded string
    3. ส่งสตริง Base64 นั้นไปพร้อมกับข้อมูล JSON อื่นๆ ใน Response <!-- end list -->
  • Frontend (รับรูปภาพ):
    1. รับข้อมูล JSON ที่มีสตริง Base64 มา
    2. นำสตริง Base64 นั้นไปใส่ใน <img> tag โดยตรง (ถ้ามี data URI scheme) หรือถอดรหัส (decode) กลับเป็นข้อมูลไบนารีเพื่อสร้าง Blob/File object แล้วนำไปแสดงผล

ข้อดี:

  • ง่ายต่อการจัดการ: สามารถฝังไปใน JSON payload ได้โดยตรง ไม่ต้องจัดการกับ Stream ของข้อมูลไบนารีแยกต่างหาก
  • รองรับโดยตรงใน JSON: สะดวกในการใช้ API ที่ส่ง/รับข้อมูลเป็น JSON เป็นหลัก
  • หลีกเลี่ยงปัญหา CORS: เนื่องจากข้อมูลถูกฝังอยู่ใน Response ของ API จึงลดปัญหา Cross-Origin Resource Sharing ที่อาจเกิดขึ้นกับการลิงก์ตรงไปยังไฟล์

ข้อเสีย:

  • ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้น: ข้อมูล Base64 จะมีขนาดใหญ่กว่าข้อมูลไบนารีต้นฉบับประมาณ 33% ทำให้ Response Payload ใหญ่ขึ้น ใช้ Bandwidth มากขึ้น และใช้เวลานานขึ้นในการส่ง
  • ประสิทธิภาพการประมวลผล: การเข้ารหัส (encode) และถอดรหัส (decode) ใช้ CPU และเวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
  • ไม่เหมาะสำหรับไฟล์ขนาดใหญ่มาก: หากรูปภาพมีขนาดหลาย MB วิธีนี้อาจไม่เหมาะสมนักเนื่องจากปัญหาด้านประสิทธิภาพและ Bandwidth

2. Binary Data

วิธีนี้คือการส่งไฟล์รูปภาพเป็นข้อมูลดิบ (raw data) หรือข้อมูลไบนารี

แนวคิด:

Backend ส่งข้อมูลไฟล์รูปภาพเป็น Stream ของไบต์ (byte stream) โดยตรง หรือส่งผ่านรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อการส่งไฟล์โดยเฉพาะ เช่น multipart/form-data

วิธีการทำงาน:

  • Backend (ส่งรูปภาพ):

    • วิธี A: ส่งเป็น Stream โดยตรง (มักใช้กับไฟล์เดียว)
      1. อ่านไฟล์รูปภาพเป็นข้อมูลไบนารี
      2. ตั้ง Content-Type Header ของ HTTP Response ให้เป็นชนิดของไฟล์รูปภาพนั้นๆ (เช่น image/jpeg, image/png)
      3. ส่งข้อมูลไบนารีของรูปภาพนั้นเป็น Body ของ Response โดยตรง <!-- end list -->
    • วิธี B: ส่งเป็น multipart/form-data (สำหรับหลายไฟล์หรือข้อมูลพร้อมกัน) เมื่อ frontend ต้องการ อัปโหลด ไฟล์ไป backend มักใช้ multipart/form-data แต่ backend ก็สามารถตอบกลับด้วย multipart/form-data เพื่อส่งหลายไฟล์พร้อมกันได้เช่นกัน (แม้จะพบน้อยกว่า)
  • Frontend (รับรูปภาพ):

    • วิธี A: รับ Stream โดยตรง:
      1. ใช้ API เช่น fetch ใน JavaScript เพื่อรับ Response โดยตรง (เช่น response.blob())
      2. สร้าง URL จาก Blob/File object ที่ได้ (URL.createObjectURL(blob)) แล้วนำไปใส่ใน <img> tag
    • วิธี B: รับ multipart/form-data: ต้องใช้ไลบรารีหรือเขียนโค้ดเพื่อ parse ข้อมูล multipart/form-data ซึ่งซับซ้อนกว่าการรับ JSON

ข้อดี:

  • ประสิทธิภาพดีกว่า: ไม่มีการเข้ารหัส/ถอดรหัส ทำให้ Payload มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และใช้ Bandwidth น้อยกว่า
  • เหมาะสำหรับไฟล์ขนาดใหญ่: เป็นวิธีที่แนะนำสำหรับการส่งไฟล์รูปภาพขนาดใหญ่มากๆ
  • รวดเร็ว: เนื่องจากข้อมูลดิบไม่มี Overhead จากการเข้ารหัส

ข้อเสีย:

  • จัดการซับซ้อนกว่า:
    • ใน Backend ต้องตั้ง Content-Type Header ให้ถูกต้องและส่ง Stream ของข้อมูล
    • ใน Frontend ต้องจัดการกับ Blob หรือ Binary Data โดยตรง ซึ่งอาจจะซับซ้อนกว่าการรับ JSON ปกติ
  • ไม่สามารถฝังใน JSON ได้โดยตรง: หากต้องการส่งข้อมูลอื่นๆ พร้อมกับรูปภาพ ต้องทำหลาย Request หรือใช้ multipart/form-data ซึ่ง Frontend อาจต้องใช้ Form Data API หรือไลบรารีเฉพาะ

สรุป: จะเลือกใช้วิธีไหนดี?



คำแนะนำ:

  1. สำหรับ AI ที่ส่งรูปภาพที่สร้างขึ้นหรือวิเคราะห์แล้ว (เป็น Output):

    • ถ้าไฟล์รูปภาพมีขนาดไม่ใหญ่มาก (เช่น ไม่เกิน 1-2 MB) และคุณต้องการส่งข้อมูล meta data อื่นๆ ของรูปภาพพร้อมกันใน JSON Response การใช้ Base64 จะเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดในการจัดการทั้งฝั่ง Backend และ Frontend
    • ถ้าไฟล์รูปภาพมีขนาดใหญ่มาก (หลาย MB หรือหลายสิบ MB) หรือคุณต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการดาวน์โหลด ควรใช้ Binary Data (Direct Stream) และให้ Frontend สร้าง URL จาก Blob Object
  2. สำหรับการส่งรูปภาพจาก Frontend ไป Backend (เช่น อัปโหลด):

    • นิยมใช้ multipart/form-data เนื่องจากสามารถส่งทั้งไฟล์รูปภาพและข้อมูล form อื่นๆ ไปพร้อมกันได้ใน Request เดียว

การเลือกใช้วิธีไหนขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของโปรเจกต์และข้อจำกัดของขนาดไฟล์รูปภาพที่คุณคาดว่าจะต้องจัดการเป็นหลักครับ

Tuesday, June 24, 2025

Python สร้าง Bot เกมส์ มีการตัดสินใจด้วยภาพ

เขียนบอท Python ที่สามารถทำ Macro Mouse และวิเคราะห์ภาพเพื่อตัดสินใจทำงานได้ มีไลบรารีหลายตัวใน Python ที่ออกแบบมาเพื่องานเหล่านี้โดยเฉพาะ

นี่คือไลบรารีหลักๆ ที่คุณจะต้องใช้และแนวคิดในการทำงานร่วมกัน:

ไลบรารีสำหรับ Macro Mouse (ควบคุมเมาส์และคีย์บอร์ด)

  1. PyAutoGUI:

    • ความสามารถ: เป็นไลบรารีที่นิยมและใช้งานง่ายที่สุดสำหรับงานประเภทนี้
      • ควบคุมเมาส์: ย้ายเมาส์, คลิก (ซ้าย, ขวา, กลาง), ลาก, สกอร์
      • ควบคุมคีย์บอร์ด: พิมพ์ข้อความ, กดปุ่มเดี่ยว, กดคีย์ผสม (เช่น Ctrl+C)
      • สกรีนช็อต: ถ่ายภาพหน้าจอ (หรือบางส่วนของหน้าจอ)
      • การค้นหาภาพบนหน้าจอ: ค้นหาภาพเล็กๆ (template image) บนหน้าจอขนาดใหญ่ และส่งคืนพิกัดที่พบ
      • ตรวจสอบสีของพิกเซล: ตรวจสอบสีของพิกเซลที่พิกัดที่กำหนด
    • ข้อจำกัด: การค้นหาภาพโดย PyAutoGUI นั้นอาศัยการจับคู่ภาพแบบตรงๆ (template matching) ซึ่งอาจไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควรหากภาพมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย (เช่น สี, แสง, ขนาด) หรือมีสิ่งรบกวน
  2. pynput:

    • ความสามารถ: ให้คุณควบคุมและตรวจสอบการทำงานของเมาส์และคีย์บอร์ดในระดับที่ต่ำกว่า PyAutoGUI เล็กน้อย สามารถ "ฟัง" เหตุการณ์การกดปุ่มหรือคลิกเมาส์ได้ด้วย (เหมาะสำหรับการสร้าง recorder macro)
    • เหมาะสำหรับ: งานที่ต้องการควบคุมแบบละเอียด หรือสร้าง macro recorder

ไลบรารีสำหรับการวิเคราะห์ภาพ (Image Analysis / Computer Vision)

  1. OpenCV (Open Source Computer Vision Library) - opencv-python:

    • ความสามารถ: นี่คือไลบรารีที่ทรงพลังและเป็นมาตรฐานในงาน Computer Vision
      • การประมวลผลภาพ: ปรับขนาด, ปรับสี (grayscale, HSV), การกรอง (blurring, sharpening), การปรับความคมชัด (edge detection)
      • การตรวจจับวัตถุ: สามารถใช้เทคนิคขั้นสูงกว่า PyAutoGUI ในการค้นหาวัตถุบนหน้าจอได้ เช่น:
        • Template Matching: (คล้าย PyAutoGUI แต่มี Options การปรับแต่งมากกว่า)
        • Feature Matching: ค้นหาวัตถุโดยใช้จุดเด่นของภาพ (เช่น SIFT, ORB) ซึ่งจะมีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงขนาด, การหมุน, หรือแสงได้ดีกว่า
        • Object Detection (Deep Learning): หากคุณต้องการความแม่นยำและทนทานต่อความแปรผันสูง สามารถรวมกับโมเดล Deep Learning (เช่น YOLO, SSD) ที่ฝึกมาเพื่อตรวจจับวัตถุเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่งจะต้องใช้ไลบรารี Deep Learning Frameworks เช่น TensorFlow หรือ PyTorch เพิ่มเติม
      • การแยกแยะสี: ตรวจจับพื้นที่ที่มีสีที่กำหนด
    • เหมาะสำหรับ: การวิเคราะห์ภาพที่ซับซ้อน, การตัดสินใจที่ต้องอาศัยข้อมูลภาพที่ละเอียดอ่อน
  2. Pillow (PIL Fork):

    • ความสามารถ: เป็นไลบรารีพื้นฐานสำหรับการจัดการภาพ เช่น การเปิด, บันทึก, ปรับขนาด, ครอบตัด, และการแปลงโหมดสี มักใช้ร่วมกับ PyAutoGUI (ซึ่งใช้ Pillow ในการจัดการสกรีนช็อต) หรือใช้เพื่อเตรียมภาพก่อนส่งให้ OpenCV ประมวลผล

แนวคิดในการรวมกันเพื่อสร้าง Bot

สมมติว่าคุณต้องการสร้างบอทสำหรับเกม (Bot Game) หรือโปรแกรมอัตโนมัติอื่นๆ:

  1. การดักจับภาพหน้าจอ (Screen Capture):

    • ใช้ PyAutoGUI.screenshot() เพื่อถ่ายภาพหน้าจอทั้งหมดหรือเฉพาะบริเวณที่สนใจ (region)
  2. การวิเคราะห์ภาพ (Image Analysis/Recognition):

    • นำภาพที่ได้จาก PyAutoGUI มาแปลงเป็นรูปแบบที่ OpenCV เข้าใจ (มักจะเป็น NumPy array)
    • ใช้ OpenCV เพื่อ:
      • ค้นหาภาพที่ต้องการ: เช่น ค้นหาไอคอนปุ่ม "OK", "Next", หรือ "Attack"
      • ตรวจจับสี: เช่น ตรวจสอบแถบเลือด (HP bar) ว่าเป็นสีแดง/เขียว หรือไม่
      • ระบุตำแหน่งตัวละคร/วัตถุ: ใช้เทคนิค Feature Matching หรือ Object Detection เพื่อระบุตำแหน่งของสิ่งที่คุณต้องการโต้ตอบด้วย
      • อ่านตัวเลข/ข้อความ: สามารถใช้ Tesseract OCR (ต้องติดตั้งภายนอก Python) ร่วมกับ OpenCV เพื่ออ่านตัวเลขหรือข้อความจากภาพได้
  3. การตัดสินใจ (Decision Making Logic):

    • จากผลลัพธ์การวิเคราะห์ภาพ (เช่น ตำแหน่งของปุ่ม, สีของแถบ HP, ค่าที่อ่านได้จาก OCR) คุณจะเขียน Logic เพื่อตัดสินใจว่าบอทควรทำอะไรต่อไป
    • ตัวอย่าง:
      • ถ้าเจอรูปปุ่ม "Attack": ให้คลิกที่ตำแหน่งนั้น
      • ถ้าแถบ HP ต่ำกว่า 20% (สีเปลี่ยนเป็นแดง): ให้กดปุ่ม "Heal"
      • ถ้าอ่านค่าในช่องเก็บของได้ว่า "มีไอเทม X จำนวน 0": ให้ไปที่ร้านค้า
  4. การทำ Macro (Mouse/Keyboard Control):

    • เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ให้ใช้ PyAutoGUI เพื่อส่งคำสั่งไปยังเมาส์หรือคีย์บอร์ดตามพิกัดที่ได้จากการวิเคราะห์ภาพ

โปรเจกต์สำเร็จรูป (สำเร็จรูปในที่นี้คือโค้ดตัวอย่าง หรือ Framework เริ่มต้น) ที่ใช้ pyAutoGUI กับ OpenCV ให้คุณนำไปศึกษา พัฒนาต่อ หรือใช้เป็นพื้นฐานได้เลยครับ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นโปรเจกต์ที่ออกแบบมาเพื่องาน Automation ทั่วไป หรือ Bot สำหรับเกมง่ายๆ ครับ

โปรเจกต์หรือ Frameworks ที่น่าสนใจ:

  1. OpenCV-Python-Tutorials / PyAutoGUI Examples:

    • ลักษณะ: นี่ไม่ใช่โปรเจกต์ขนาดใหญ่ แต่เป็นชุดของตัวอย่างโค้ดและบทเรียนที่แสดงวิธีการใช้งาน OpenCV และ pyAutoGUI ร่วมกัน
    • เหมาะสำหรับ: ผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำความเข้าใจพื้นฐานและเห็นตัวอย่างการค้นหาภาพ, การคลิก, การพิมพ์
    • หาได้จาก:
      • เอกสารประกอบของ pyAutoGUI เอง (https://pyautogui.readthedocs.io/en/latest/)
      • Tutorials ของ OpenCV-Python ที่มักจะมีส่วนที่อธิบายการทำงานร่วมกับ Screen Capture
      • GitHub Repositories ที่รวบรวมตัวอย่างการทำ GUI Automation ด้วย Python
  2. Python-Auto-Bot (หรือชื่อคล้ายๆ กันบน GitHub):

    • ลักษณะ: เป็นโปรเจกต์ที่มักจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสาธิตการทำบอทสำหรับเกมง่ายๆ หรือโปรแกรมที่มี UI ตายตัว (เช่น Clicker Games)
    • ฟังก์ชัน: มักจะมีการตรวจจับภาพ, การคลิกตามเงื่อนไข, การพิมพ์ข้อความอัตโนมัติ
    • หาได้จาก: ลองค้นหาบน GitHub ด้วยคีย์เวิร์ดเช่น "Python bot automation", "pyautogui opencv bot", "game automation python" คุณจะพบโปรเจกต์เหล่านี้มากมาย ผู้พัฒนาหลายคนสร้างขึ้นมาเพื่อการศึกษา
  3. Image-Recognition-Auto-Clicker (และ Variations):

    • ลักษณะ: เป็นบอทอัตโนมัติที่ใช้การจดจำภาพเป็นหลัก เช่น บอทสำหรับเกมที่ต้องคลิกปุ่มเดิมๆ ซ้ำๆ เมื่อเห็นภาพบางอย่างปรากฏขึ้น
    • ฟังก์ชัน: จับภาพหน้าจอ, ค้นหา Template ของภาพที่ต้องการ, คลิกที่ตำแหน่งที่พบ
    • หาได้จาก: GitHub (ใช้คีย์เวิร์ด "Python image recognition clicker", "pyautogui opencv game bot")
  4. Bot Frameworks (บางตัว):

    • ลักษณะ: มีบางโปรเจกต์ที่พยายามสร้างเป็น Framework ที่มีความเป็น Modular มากขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปประยุกต์ใช้กับหลายๆ แอปพลิเคชัน
    • ฟังก์ชัน: มีโครงสร้างสำหรับจัดการ States ของบอท, มีฟังก์ชันสำหรับตรวจจับภาพและโต้ตอบที่ถูกจัดระเบียบไว้
    • หาได้จาก: อาจจะหายากกว่าตัวอย่างง่ายๆ แต่ก็มีให้เห็นบ้างในกลุ่มผู้พัฒนาเกม Bot

คำแนะนำในการค้นหาและใช้งาน:

  • GitHub คือขุมทรัพย์: แหล่งรวมโปรเจกต์ Open Source ที่ดีที่สุดคือ GitHub คุณสามารถใช้ช่องค้นหาของ GitHub และใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (pyautogui opencv, python gui automation, game bot python)
  • เริ่มจากโปรเจกต์เล็กๆ: อย่าเพิ่งกระโดดไปหาโปรเจกต์ที่ซับซ้อนมากนัก ให้เริ่มจากโปรเจกต์ที่มีโค้ดไม่กี่ไฟล์ที่แสดงแนวคิดหลักๆ ของการทำงานร่วมกันของ pyAutoGUI และ OpenCV
  • ศึกษาโค้ดอย่างละเอียด: การนำโปรเจกต์สำเร็จรูปมาใช้ ไม่ใช่แค่รันได้ แต่ต้องทำความเข้าใจว่าโค้ดแต่ละส่วนทำงานอย่างไร มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
  • การปรับแต่งสำคัญที่สุด: โปรเจกต์สำเร็จรูปส่วนใหญ่จะออกแบบมาสำหรับ Use Case เฉพาะ คุณจะต้องปรับแต่งโค้ดให้เข้ากับโปรแกรมหรือเกมที่คุณต้องการ Automate
    • รูปภาพ Template: คุณต้องสร้างหรือจับภาพ Template ของปุ่ม, ไอคอน, หรือส่วนประกอบ UI ที่คุณต้องการให้บอทรู้จักเอง
    • Logic การทำงาน: เขียนเงื่อนไข (if-else) และลำดับการทำงานของบอทเอง
    • การจัดการ Error: เพิ่มการจัดการ Error เช่น เมื่อไม่พบภาพที่ต้องการ หรือโปรแกรมเป้าหมายค้าง
  • สภาพแวดล้อม (Environment): ตรวจสอบ requirements.txt ของโปรเจกต์นั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ติดตั้งไลบรารีและเวอร์ชันที่ถูกต้อง

ข้อควรระวัง:

  • ความปลอดภัย: การใช้ pyAutoGUI ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการควบคุมอาจเป็นอันตรายได้ เพราะบอทจะควบคุมเมาส์และคีย์บอร์ดจริง ๆ คุณอาจเปิด pyautogui.FAILSAFE = True เพื่อให้สามารถหยุดโปรแกรมได้ทันทีด้วยการขยับเมาส์ไปมุมซ้ายบน
  • การละเมิดข้อตกลง: หากใช้บอทในเกมออนไลน์หรือซอฟต์แวร์ที่มีข้อตกลงการใช้งาน โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าการใช้บอทไม่เป็นการละเมิดข้อตกลงนั้นๆ ครับ

สรุปคือ มีโปรเจกต์ตัวอย่างและฐานโค้ดให้คุณเริ่มได้แน่นอนครับ ลองใช้ GitHub เป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาและศึกษาดู คุณจะได้เรียนรู้และสร้างบอทของคุณเองได้ไม่ยาก!

Monday, June 23, 2025

การติดตั้ง Stable Diffusion บน Ubuntu 24.04 Lts เพื่อสร้าง Text to Image อย่างง่าย ๆ ในเครื่องตัวเอง

 ปัจจุบันคือวันที่ 23 มิถุนายน 2567 นะครับ สำหรับ Ubuntu 24.04 (Noble Numbat) ซึ่งเป็น LTS (Long Term Support) version ก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการติดตั้ง Stable Diffusion ครับ

การนำ Open Source Stable Diffusion มาใช้งานและ Fine-tune บน Ubuntu นั้น มีหลายวิธีครับ แต่วิธีที่นิยมและง่ายที่สุดในปัจจุบันคือการใช้โปรเจกต์ Automatic1111 web UI (หรือ stable-diffusion-webui) ซึ่งมีฟังก์ชันครบครัน ทั้งการสร้างภาพ, Upscaling, Inpainting, Outpainting, และที่สำคัญคือรองรับการทำ Fine-tune (โดยเฉพาะ LoRA) ได้ในตัว

ผมจะแนะนำวิธีการติดตั้งและขั้นตอนการทำ Fine-tune (แบบ LoRA) ด้วย Automatic1111 ครับ


ส่วนที่ 1: การติดตั้ง Stable Diffusion (Automatic1111 web UI) บน Ubuntu 24.04

ข้อกำหนดเบื้องต้น (Prerequisites):

  1. Ubuntu 24.04: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ Ubuntu 24.04 หรือใหม่กว่า
  2. GPU ของ NVIDIA: Stable Diffusion ทำงานได้ดีที่สุดบน GPU ของ NVIDIA ที่มี VRAM อย่างน้อย 6GB (แนะนำ 8GB ขึ้นไปสำหรับ LoRA และ 12GB+ สำหรับการสร้างภาพที่ละเอียด)
    • สำคัญ: AMD/Intel GPU ก็สามารถใช้ได้ผ่าน ROCm/Intel IPEX/DirectML แต่การตั้งค่าจะซับซ้อนกว่าและประสิทธิภาพอาจไม่เท่า NVIDIA ในปัจจุบัน บทความนี้จะเน้น NVIDIA ครับ
  3. อินเทอร์เน็ต: สำหรับดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ
  4. พื้นที่ดิสก์: อย่างน้อย 30-50GB สำหรับโมเดลและ Dependencies (อาจจะเยอะกว่านี้ถ้ามีหลายโมเดล)

ขั้นตอนการติดตั้ง:

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้ง NVIDIA Drivers และ CUDA Toolkit

ถึงแม้ Ubuntu 24.04 จะมีการปรับปรุงเรื่อง Driver NVIDIA แต่เราจะติดตั้งแบบ Manual เพื่อให้มั่นใจและได้ CUDA toolkit ที่เหมาะสม

  1. ตรวจสอบว่ามี Driver เก่าหรือไม่ (ถ้าเคยติดตั้ง):

    Bash
    sudo apt-get purge nvidia*
    sudo apt autoremove
    
  2. อัปเดตระบบ:

    Bash
    sudo apt update
    sudo apt upgrade -y
    sudo apt autoremove -y
    
  3. ติดตั้ง Build Essentials และ Headers สำหรับ Kernel:

    Bash
    sudo apt install build-essential linux-headers-$(uname -r) -y
    
  4. ดาวน์โหลดและติดตั้ง NVIDIA Driver และ CUDA Toolkit:

    • เข้าไปที่ NVIDIA CUDA Toolkit Download
    • เลือก: Linux -> x86_64 -> Ubuntu -> 24.04 -> deb (local)
    • ดาวน์โหลดไฟล์ .deb (เช่น cuda-ubuntu2404.pin, cuda-repo-ubuntu2404-12-x-local_...deb)
    • ทำตามคำสั่งที่ปรากฏบนหน้าเว็บของ NVIDIA (มันจะคล้ายๆ แบบนี้ แต่ตัวเลข version อาจต่างไป)
      Bash
      # ตัวอย่าง: ติดตั้ง CUDA 12.x
      wget https://developer.download.nvidia.com/compute/cuda/repos/ubuntu2404/x86_64/cuda-ubuntu2404.pin
      sudo mv cuda-ubuntu2404.pin /etc/apt/preferences.d/cuda-repository-pin-600
      wget https://developer.download.nvidia.com/compute/cuda/12.5.0/local_installers/cuda-repo-ubuntu2404-12-5-local_12.5.0-1_amd64.deb # <-- เปลี่ยน URL ตามเวอร์ชันที่ดาวน์โหลดมา
      sudo dpkg -i cuda-repo-ubuntu2404-12-5-local_12.5.0-1_amd64.deb # <-- เปลี่ยนชื่อไฟล์ตามที่ดาวน์โหลดมา
      sudo cp /var/cuda-repo-ubuntu2404-12-5-local/cuda-*-keyring.gpg /usr/share/keyrings/
      sudo apt-get update
      sudo apt-get -y install cuda-toolkit-12-5 # <-- เปลี่ยน version ให้ตรง
      
  5. ตั้งค่า PATH (ถ้ายังไม่ได้ตั้ง): เพิ่มบรรทัดนี้ในไฟล์ ~/.bashrc หรือ ~/.profile ของคุณ

    Bash
    export PATH=/usr/local/cuda-12.5/bin${PATH:+:${PATH}}
    export LD_LIBRARY_PATH=/usr/local/cuda-12.5/lib64${LD_LIBRARY_PATH:+:${LD_LIBRARY_PATH}}
    

    (อย่าลืมเปลี่ยน 12.5 เป็นเวอร์ชัน CUDA ที่คุณติดตั้ง) จากนั้นโหลดการตั้งค่าใหม่:

    Bash
    source ~/.bashrc
    # หรือ source ~/.profile
    
  6. ตรวจสอบการติดตั้ง:

    Bash
    nvidia-smi
    nvcc --version
    

    คุณควรเห็นข้อมูล Driver, CUDA version และ GPU ของคุณ

ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้ง Dependencies อื่นๆ

Bash
sudo apt install python3 python3-pip python3-venv git -y

ขั้นตอนที่ 3: โคลน Stable Diffusion Web UI

  1. เลือก directory ที่คุณต้องการติดตั้ง (เช่นใน Home folder):

    Bash
    cd ~
    
  2. โคลน repository:

    Bash
    git clone https://github.com/AUTOMATIC1111/stable-diffusion-webui.git
    cd stable-diffusion-webui
    

ขั้นตอนที่ 4: ดาวน์โหลด Stable Diffusion Model (Checkpoint)

  1. ไปที่ Hugging Face - RunDiffusion / juggernaut-xl-v9 หรือ Civitai เพื่อดาวน์โหลดโมเดล Checkpoint ที่คุณต้องการ (แนะนำเป็น .safetensors ไฟล์)
    • สำหรับเริ่มต้น อาจใช้ Stable Diffusion 1.5 หรือ SDXL Base model (ขนาดใหญ่กว่า 6GB)
    • ตัวอย่าง: ถ้าดาวน์โหลด juggernaut-xl-v9-lightning.safetensors
  2. ย้ายไฟล์โมเดลที่ดาวน์โหลดมาไว้ใน directory: stable-diffusion-webui/models/Stable-diffusion/

ขั้นตอนที่ 5: รัน Stable Diffusion Web UI เป็นครั้งแรก

  1. รัน Script:

    Bash
    ./webui.sh
    
    • ครั้งแรกที่รัน Script นี้ มันจะสร้าง Python Virtual Environment, ติดตั้ง Python Dependencies ทั้งหมด (Pytorch, Transformers, Diffusers ฯลฯ) และดาวน์โหลดโมเดล CLIP, VAE (หากจำเป็น) ซึ่งอาจใช้เวลาค่อนข้างนาน (ขึ้นอยู่กับความเร็วเน็ตและการ์ดจอ)
    • ถ้าคุณไม่มี VRAM เพียงพอ หรือเจอ Error บ่อยๆ ลองแก้ไขไฟล์ webui-user.sh (อยู่ใน directory เดียวกันกับ webui.sh) แล้วเพิ่มบรรทัดใน COMMANDLINE_ARGS เช่น --xformers (ช่วยลด VRAM), --medvram (ลด VRAM เพิ่มขึ้น), หรือ --lowvram (ถ้า VRAM น้อยมาก)
      Bash
      # ในไฟล์ webui-user.sh
      # ...
      export COMMANDLINE_ARGS="--xformers --medvram"
      # ...
      
    • หากต้องการเข้าถึง Web UI จากเครื่องอื่นในเครือข่าย ให้เพิ่ม --listen ใน COMMANDLINE_ARGS
  2. เข้าถึง Web UI: เมื่อกระบวนการเริ่มต้นเสร็จสิ้น คุณจะเห็นข้อความประมาณว่า: Running on local URL: http://127.0.0.1:7860

    • เปิด Web Browser ของคุณแล้วไปที่ URL นั้น (โดยปกติคือ http://127.0.0.1:7860)

ตอนนี้คุณก็สามารถใช้งาน Stable Diffusion Web UI เพื่อสร้างภาพได้แล้ว!


ส่วนที่ 2: ขั้นตอนการทำ Fine-tune (LoRA) ด้วย Automatic1111 web UI

การทำ Fine-tune ที่นิยมที่สุดในปัจจุบันสำหรับ Stable Diffusion คือการใช้เทคนิค LoRA (Low-Rank Adaptation) ซึ่งใช้ VRAM น้อยกว่าการ Fine-tune แบบเต็มรูปแบบและได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับการสร้าง "สไตล์" หรือ "ตัวละคร/วัตถุ" ใหม่ๆ

ข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับการทำ LoRA Fine-tune:

  • GPU VRAM: อย่างน้อย 8GB VRAM (แนะนำ 12GB+ สำหรับความเร็วที่ดี)
  • ชุดข้อมูลรูปภาพ:
    • รูปภาพ: คุณต้องมีชุดรูปภาพที่ต้องการให้ AI เรียนรู้ (เช่น รูปตัวละครเดิมๆ หลายๆ รูป, รูปสไตล์ภาพวาดที่คุณต้องการ)
    • จำนวน: แนะนำ 10-30 รูปสำหรับสไตล์/ตัวละครที่สอดคล้องกัน (ถ้าเยอะไปอาจทำให้ Overfit, ถ้าน้อยไปอาจไม่ได้ผล)
    • ความสอดคล้อง: รูปภาพควรมีความสอดคล้องกันในแง่ของสไตล์, คุณภาพ, และตัวแบบ (ถ้าเป็นตัวละครเดียวกัน ควรแต่งกายคล้ายกัน ท่าทางคล้ายกัน)
    • คุณภาพ: รูปภาพควรมีคุณภาพดี มีความคมชัด ไม่มีสิ่งรบกวน
  • คำบรรยายภาพ (Captions/Tags): แต่ละรูปภาพควรมีไฟล์ข้อความ (.txt) ที่มีชื่อเดียวกับไฟล์รูปภาพนั้นๆ และภายในไฟล์มีคำบรรยายหรือแท็กที่อธิบายรูปภาพนั้นๆ อย่างละเอียด

ขั้นตอนการเตรียมข้อมูลและทำ LoRA Fine-tune:

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมชุดข้อมูลรูปภาพและ Captions

  1. สร้าง Directory สำหรับ Dataset: สมมติว่าคุณจะสร้าง LoRA สำหรับ "MyCharacter" สร้าง Folder: stable-diffusion-webui/data/my_character_dataset/ ภายใน Folder นี้ ให้สร้าง Folder ย่อยอีก Folder เช่น 10_mycharacter (ตัวเลข 10 คือจำนวนรอบที่รูปภาพนี้จะถูกประมวลผลต่อ Epoch, mycharacter คือ token ที่คุณจะใช้ใน prompt)

  2. ใส่รูปภาพของคุณ: นำรูปภาพทั้งหมดของ "MyCharacter" ใส่ใน stable-diffusion-webui/data/my_character_dataset/10_mycharacter/

  3. สร้าง Captions (.txt files): สำหรับรูปภาพแต่ละรูป (เช่น image01.jpg) ให้สร้างไฟล์ .txt ที่มีชื่อเดียวกัน (image01.txt) ภายในไฟล์ .txt ให้ใส่คำบรรยายรูปภาพนั้นๆ โดยละเอียด โดยแยกด้วยคอมมา ตัวอย่าง: image01.jpg -> image01.txt a beautiful girl, long hair, blue eyes, wearing a red dress, standing in a park, sunny day, realistic style

    Tips สำหรับ Captions:

    • ใส่ token ที่คุณจะใช้ใน prompt (เช่น mycharacter) ไว้ใน caption ด้วย
    • เน้นคำบรรยายสิ่งที่ ไม่ควรเปลี่ยนแปลง (เช่น "long hair", "blue eyes")
    • คำที่ไม่ต้องการให้โมเดลเรียนรู้เป็นเอกลักษณ์ของตัวละคร ให้ลบออกจาก Caption (เช่น "wearing a red dress" ถ้าคุณอยากให้ AI สามารถเปลี่ยนชุดได้)
    • ใช้ Extension "BLIP/CLIP Interrogator" ใน Automatic1111 เพื่อช่วยสร้าง Captions เริ่มต้นอัตโนมัติ (แต่ต้องตรวจทานและแก้ไขด้วยตัวเอง)

ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าและรัน Fine-tune (LoRA) ใน Automatic1111

  1. เปิด Stable Diffusion Web UI: (ถ้าปิดอยู่ก็รัน ./webui.sh)

  2. ไปที่แท็บ "Train" -> "Create LoRA":

    • ในเวอร์ชันใหม่ๆ ปุ่ม "Create LoRA" อาจจะอยู่ในแท็บย่อยของ "Train" หรือ "Extra"
    • ถ้าหาไม่เจอ ลองติดตั้ง Extension ชื่อ "sd-webui-train-tools" หรือ "sd-webui-lora-trainer" (บางครั้ง Web UI ก็มีมาให้แล้ว)
  3. กรอกรายละเอียดในหน้า "Create LoRA":

    • LoRA name: ตั้งชื่อ LoRA ของคุณ (เช่น my_character_lora)
    • Model: เลือก Base Model ที่คุณต้องการใช้เป็นพื้นฐานในการ Fine-tune (เช่น juggernaut-xl-v9-lightning.safetensors ที่คุณดาวน์โหลดมา)
    • Dataset directory: ใส่ Path เต็มของ Folder ที่มีรูปภาพและ Captions ของคุณ (เช่น /home/youruser/stable-diffusion-webui/data/my_character_dataset/)
    • Regularization directory: (ส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้สำหรับ LoRA เริ่มต้น) ใช้สำหรับควบคุมไม่ให้โมเดล Overfit เกินไป
    • Output directory: กำหนด Folder ที่จะเซฟไฟล์ LoRA ที่ได้ (เช่น /home/youruser/stable-diffusion-webui/models/LoRA/)
    • Training steps per image: (สำคัญมาก) จำนวนครั้งที่โมเดลจะประมวลผลรูปภาพแต่ละรูปต่อ Epoch (มักจะตั้งเป็น 10-20)
    • Max train steps: กำหนดจำนวน Step สูงสุดที่จะฝึก (เช่น 1000 - 3000 Steps)
      • LoRA มักจะต้องการ Steps น้อยกว่า Full Fine-tune
      • คำนวณ Steps: (จำนวนรูปภาพ * Training steps per image) * จำนวน Epoch
      • ตัวอย่าง: 20 รูป * 10 Steps/รูป = 200 Steps/Epoch. ถ้าต้องการ 10 Epochs = 2000 Steps
    • Learning rate: (สำคัญมาก) อัตราการเรียนรู้ (เช่น 0.0001 - 0.00005 สำหรับ Text Encoder, 0.0001 - 0.00005 สำหรับ U-Net)
      • อาจต้องลองปรับดู
    • Optimizer: เลือก AdamW หรือ AdamW8bit (ถ้า VRAM จำกัด)
    • Save every N steps: บันทึกไฟล์ LoRA ทุกๆ N Steps เพื่อให้คุณสามารถทดสอบผลลัพธ์ได้ในระหว่างการฝึก
    • Clip skip: (สำหรับ Text Encoder) มักจะตั้งเป็น 2
    • Network Rank (Dimension) และ Alpha: (สำคัญมาก)
      • Network Rank (dim): กำหนดขนาดของ LoRA Model ยิ่งมากยิ่งสามารถเรียนรู้รายละเอียดได้ดีขึ้น แต่ก็ใช้ VRAM มากขึ้น (แนะนำ 64, 128 หรือ 256)
      • Network Alpha: เป็นการถ่วงน้ำหนักของ LoRA (แนะนำให้ตั้งเท่ากับ dim หรือ dim/2 เช่น 64 ถ้า dim=64)
    • Batch size: จำนวนรูปภาพที่ประมวลผลพร้อมกันในแต่ละ Batch (ถ้า VRAM น้อย ให้ตั้งเป็น 1)
    • Mixed precision: ตั้งเป็น fp16 (สำหรับ NVIDIA GPU) เพื่อความเร็วและประหยัด VRAM
  4. คลิก "Train LoRA":

    • กระบวนการฝึกฝนจะเริ่มต้นขึ้น คุณสามารถดูความคืบหน้าได้ในหน้า Terminal หรือบน Web UI (ถ้ามีแถบ Progress Bar)
    • ระหว่างการฝึกฝน GPU จะทำงานหนักมาก

ขั้นตอนที่ 3: ทดสอบ LoRA ที่ Fine-tune แล้ว

  1. เมื่อการฝึกฝนเสร็จสิ้น (หรือคุณเซฟโมเดลในระหว่างการฝึก) ไฟล์ .safetensors ของ LoRA จะถูกบันทึกไว้ใน stable-diffusion-webui/models/LoRA/
  2. ไปที่แท็บ "txt2img" ใน Web UI
  3. เลือก Base Model: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเลือก Base Model เดียวกันกับที่ใช้ในการ Fine-tune LoRA
  4. เรียกใช้ LoRA: ใน Positive Prompt ให้พิมพ์ <lora:your_lora_name:weight>
    • ตัวอย่าง: <lora:my_character_lora:1>
    • your_lora_name: คือชื่อไฟล์ LoRA ของคุณ (ไม่ต้องใส่ .safetensors)
    • weight: คือน้ำหนักที่คุณต้องการให้ LoRA มีผล (0-1, เช่น 0.7, 0.8, 1.0)
  5. เพิ่ม Trigger Word (ถ้าใช้): ถ้าคุณใส่ token เช่น mycharacter ใน Captions ตอนเตรียมข้อมูล คุณก็ควรใช้ mycharacter ใน Prompt ของคุณด้วย ตัวอย่าง Prompt: a photo of <lora:my_character_lora:1> mycharacter, beautiful girl, long hair, blue eyes, in a garden, realistic style, highly detailed
  6. Generate ภาพ: ลองสร้างภาพและปรับค่า Prompt, LoRA Weight, และ Seed เพื่อดูผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การแก้ไขปัญหาที่พบบ่อย:

  • CUDA Out Of Memory: VRAM ไม่พอ ลองลด Batch size, ลด Network Rank, ใช้ fp16, หรือเพิ่ม COMMANDLINE_ARGS เช่น --medvram, --lowvram
  • LoRA ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ:
    • Overfit (ภาพออกมาเหมือนรูปใน Dataset เกินไป หรือมีลายน้ำ/พื้นหลังเดิมๆ): ลด Learning rate, ลด Max train steps, ลด Network Rank, เพิ่มความหลากหลายของรูปใน Dataset
    • Underfit (LoRA ไม่มีผลต่อภาพเลย): เพิ่ม Learning rate, เพิ่ม Max train steps, เพิ่ม Network Rank, ตรวจสอบว่า token ใน Prompt ตรงกับที่ใช้ใน Caption หรือไม่, ตรวจสอบคุณภาพของ Captions
  • Installer Error: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Driver NVIDIA, CUDA, Python และ Dependencies อื่นๆ ติดตั้งถูกต้องและอยู่ใน PATH
  • Web UI ไม่รัน: ตรวจสอบ Log ใน Terminal เพื่อดู Error message

การ Fine-tune LoRA เป็นกระบวนการที่ต้องใช้การลองผิดลองถูกและปรับค่าต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ ขอให้สนุกกับการสร้างสรรค์ AI Art ของคุณ!